top of page

วันที่ได้โปรดเกล้าฯ เป็นศาสตราจารย์

  • มณฑารพ ยมาภัย
  • Oct 20, 2016
  • 1 min read

วันนั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งในชีวิต ที่ไม่อาจลืมได้ ที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เพราะได้เห็นคำประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพราะถึงแม้จะสำคัญมาก แต่ก็เป็นเพียงขั้นตอนปกติของ ผู้ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่เป็นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่จะต้องได้ รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากในหลวงก่อน จึงจะใส่คำนำหน้าชื่อได้ โดยปกติแล้ว ผู้ที่ได้รับและเพื่อนรวมงานใกล้ชิดก็จะได้ทราบมาก่อนหน้าบ้างแล้ว เพราะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนกว่าจะส่งไปยัง สกอ เพื่อคอย "โปรดเกล้าฯ" เหตุที่ยิ่งใหญ่เพราะ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียง ๗ วันหลังจากเหตุการณ์วิปโยคที่สุดที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย คือวันที่พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๕.๕๒ น. ณ โรงพยาบาลศิริราช ข้าพเจ้ายังจำได้ดี พร้อมกับคนไทยทั้งชาติว่า ยังความโศกเศร้าอย่างหาประมาณมิได้เพียงใด ตอนนั้นข้าพเจ้าไปปฏิบัติงานต่างประเทศที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่มหาวิทยาลัย BOKU ก่อนหน้านั้น ๑ วัน ก็เหมือนกับคนไทยทุกคน ข้าพเจ้าเริ่มเห็นโพสต์ต่างๆ ใน ไลน์และเฟสบุค ถึงข่าวร้ายต่างๆ และ ในที่สุดก็มีประกาศจากสำนักพระราชวัง วันนั้นข้าพเจ้าไม่ร้องไห้ แค่รู้สึกชาไปหมด และเนื่องจากเวลาที่ออสเตรียช้ากว่าประเทศไทย ๕ ชั่วโมง ข้าพเจ้าจึงยังต้องเดินทางไปพบปะกับ โปรเฟสเซอร์ และนักวิจัยเพื่อคุยงานที่นัดกันไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกกลวงและว่างเปล่ามากในวันนั้น แต่ก็ต้องเดินทางไป พยายามทำใจให้เข้มแข็ง ลืมสิ่งเลวร้ายที่เพิ่งได้รับรู้มาและมุ่งมั่นอยู่กับการคุยงาน ตอนนั้นข่าวทางออสเตรียยังไม่ออกมามากนัก จึงยังไม่มีใครรู้และพูดอะไรมาก ข้าพเจ้าก็พยายามจดจ่ออยู่กับงานเพื่อให้ลืมความจริงอันแสนเศร้าที่ได้เกิดขึ้นแล้ว อยู่คุยงานจนเสร็จ

จนถัดมาอีกวันจำได้ ข้าพเจ้าตื่นมา เห็นทุกอย่างในเฟสบุคเปลี่ยนไป ทุกอย่างกลายเป็นขาวดำ มีข่าวการเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปพระบรมมหาราชวัง มีแต่ความเศร้าสลด วันนั้นตอนสายๆ ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ออกมา ซึ่งทำให้ลูกสาวและสามีซึ่งเป็นชาวต่างประเทศค่อนข้างตกใจ เพราะไม่เคยเห็นแม่และภรรยาร้องไห้แบบนี้มาก่อน พร้อมกับพยายามมาปลอบใจและให้กำลังใจ สามีข้าพเจ้าเป็นคนดี แต่ความที่เขาไม่ใช่คนไทย ก็คงไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกรักและผูกพันที่คนไทยมีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๙ ได้ วันนั้นข้าพเจ้าก็ยังมีนัดพูดคุยกับ โปรเฟสเซอร์ที่ BOKU อีกหลายคน จึงยังต้องไปทำงานด้วยความรู้สึก "กลวง และว่างเปล่า" มากที่สุด วันนั้นทุกคนรู้ข่าวเศร้าของประเทศหมดแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้กับพวกเขาเหล่านั้น ยิ่งพอใครจะมาซักอะไรมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ชงัก ตาแดงๆ แล้วก็ต้องบอกเขาไปว่ายังไม่พร้อมจะคุยด้วย เพราะเรื่องที่เขาอยากคุยนั้นมันเป็นสิ่งที่เราเองก็กลัวและหวาดหวั่นมาตลอด อย่างไรก็ตามการพูดคุย เรื่องงานวิจัย งานวิชาการ ก็ผ่านไปด้วยดี ถึงแม้ข้าพเจ้าจะรู้สึกไม่ดีเลย

จนเมื่อ ๗ วันผ่านไป มีเพื่อนทาง เฟสบุค แทคมาว่ามีประกาศโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งศาสตราจารย์ ๑๑ ราย และหนึ่งในนั้นมีชื่อข้าพเจ้าด้วย ข่าวนี้ยังความปลาบปลื้มโสมนัส ท่ามกลางความโทมนัส แบบที่ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกได้ ในส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้น ที่ผ่านมาก็ค่อนข้างกังวลว่าหลังจากที่ทราบว่าผลงานที่เสนอขอตำแหน่งผ่านการประเมินทางวิชาการผ่านมาปีกว่าแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าเสียที เพราะมีเพื่อนอาจารย์จาก มหาวิทยาลัยอื่น ที่ยื่นขอทีหลังก็ยังได้รับประกาศโปรดเกล้าไปก่อนหน้าแล้ว พอทราบข่าวการสวรรคต ก็แอบเสียใจเล็กๆ ว่าคงไม่ได้รับการโปรดเกล้าโดยพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์นี้แล้ว แต่ก็บอกตัวเองว่า นี่มันเรื่องเล็กน้อย ไม่ควรเอามาคิดมาก เพราะจำได้ว่า ได้ สัญญากับตัวเองแล้วเมื่อวันที่ทราบข่าวการสวรรคตของพระองค์ว่า จะเป็นคนดี แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด ตั้งใจศึกษาและปฎิบัติธรรม น้อมนำพระบรมราโชวาท ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ดำเนินชีวิตตามรอยพระยุคลบาท ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติตลอดไปจนวันตาย แต่แล้วในที่สุด ที่ทำให้วันนี้เป็นจุดสูงสุดในชีวิต วันหนึ่ง คือ มีคนชี้ให้อ่านวันที่ ที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งพอได้เห็นแล้ว ก็เกิดอาการชา แน่น พูดไม่ออกไปอีกรอบ เพราะได้เห็นว่าในประกาศที่ออกมานั้น เฉพาะตัวข้าพเจ้าเอง เป็นผู้เดียวที่ประกาศลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ วันเดียวกับที่พระองค์ สวรรคต มีเพื่อนอาจารย์ด้วยกันตั้งข้อสังเกตว่า นี่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นศาสตราจารย์คนสุดท้ายในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๙ ซึ่งข้าพเจ้าได้ โพสแสดงความรู้สึกนี้ไว้แล้วใน เฟสบุคส่วนตัวด้านล่าง

นี่คือมงคลสูงสุดในชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อนร่วมงานหลายท่านบอกว่าข้าพเจ้ามีบุญ และข้าพเจ้าก็เห็นจริงตาม ข้าพเจ้ารู้สึกว่านี่เป็นพรสุดท้ายที่ได้รับจากพระองค์ท่าน แม้จะไม่ได้โดยตรง แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าอันนี้มุ่งตรงมาที่จะให้ข้าพเจ้าได้รับ และจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามิอาจจะลืมเลือนได้ อีกทั้งจะเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ตั้งใจทำหน้าตามที่ได้ตั้งปณิธานไว้ให้สำเร็จ สุดความสามารถ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่า ข้าพเจ้าได้รับพลังเมตตาจากพระองค์จากที่สูงที่ใดที่หนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าหากมุ่งมั่นตั้งใจทำดีจริงแล้ว การใหญ่ต่างๆ จะลุล่วงได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพุทธมามกะ ที่มีความแตกฉานในธรรมะในพระพุทธศาสนา การน้อมนำพระบรมราโชวาทมาปฏิบัติ ซึ่งตรงกับมงคลหลายประการ ในมงคล ๓๘ ประการ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ในมงคลสูตร ย่อมจะนำความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ต่อไป ข้าพเจ้าเขียนความรู้สึกนี้ลงใน บลอคนี้ เพื่อ ประกาศไว้ เพื่อจะได้ตั้งใจพยายามทำตามที่ตั้งใจไว้ให้มากที่สุด

โพสในเฟสบุคเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙

ในบรรดา ศาสตราจารย์ใหม่ ๑๑ คนที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งล่าสุดนี้ ข้าพเจ้า มณฑารพ ยมาภัย เป็นผู้เดียวที่ได้รับแต่งตั้งในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เมื่อได้ทราบความครั้งแรก มันรู้สึกชาไปหมด ตื้นตันใจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต รู้สึกอัดแน่นในอก มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดในชีวิต นำ้ตาแห่งความปลื้มปิติ ระคนความเศร้าหลั่งออกมา เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ต่อแต่นี้ต่อไป คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความตั้งใจเดิม ตั้งแต่ได้ทราบข่าวการสวรรคต ว่าจะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด เป็นคนดี ศึกษาและปฏิบัติธรรม น้อมนำแนวทางดำเนินชีวิต ตามรอยพระยุคลบาทและพระบรมราโชวาทที่ได้ให้ไว้ในโอกาสต่างๆ นำความรู้ความสามารถที่มีอยู่มาสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้สมกับที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ประกาศแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งนี้ ในวันสุดท้ายของรัชกาล

Comments


66 44 224234

66 44 224150

School of Biotechnology
Suranaree University of Technology
111 University Avenue, Nakhon Ratchasima, 30000 Thailand

  • Facebook

©2016 BY PROF. MONTAROP YAMABHAI. PROUDLY CREATED WITH WIX.COM

bottom of page